ระบบนิเวศ

ระบบนิเวศ (ecosystem) คือ ระบบของกลุ่มสิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่เดียวกัน มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และมีความสัมพันธ์กับสิ่งไม่มีชีวิตในแหล่งที่อยู่นั้นด้วย โลกจัดว่าเป็นระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เรียกว่า โลกของสิ่งมีชีวิต (biosphere)
แผนผังแสดงความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ
ประเภทของระบบนิเวศ
ถ้าใช้แหล่งที่อยู่เป็นเกณฑ์ในการจำแนก สามารถจำแนกประเภทของระบบนิเวศอย่างกว้างๆ ได้ดังนี้
โครงสร้างของระบบนิเวศ (ecosystem structure) ประกอบด้วยส่วนที่มีชีวิตและส่วนที่ไม่มีชีวิต
# ส่วนที่มีชีวิต ได้แก่ พืชและสัตว์ ซึ่งจัดแบ่งตามลำดับขั้นในการบริโภค (trophic level) ได้ 3 ระดับ คือ
- ผู้ผลิต (producers) ได้แก่ พืชประเภทต่างๆ รวมถึงแบคทีเรียบางชนิดที่สร้างอาหารเองได้ (autotrophy)
- ผู้บริโภค (consumers) คือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง (heterotrophy) ต้องดำรงชีวิตด้วยการกินสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ คือ สัตว์กินพืช (herbivores) สัตว์กินสัตว์ (carnivores) สัตว์กินทั้งพืชและสัตว์ (omnivores)
- ผู้ย่อยสลาย (decomposers) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้อาหารจากสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้ว โดยการย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นด้วยน้ำย่อยแล้วจึงดูดซึมส่วนที่ย่อยสลายแล้วเหล่านั้นไปเป็นอาหาร ตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เช่น รา แบคทีเรีย จุลินทรีย์ ผู้ย่อยสลายอินทรียสารบางชนิดมีประโยชน์ เช่น การใช้แบคทีเรียบางชนิดในการผลิตน้ำส้มสายชูหรือนมเปรี้ยว เป็นต้น แต่ผู้ย่อยสลายอินทรียสารบางชนิดก็ให้โทษต่อสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น ทำให้อาหารเน่าเสีย เห็ดราบางชนิดมีโทษถึงชีวิตเมื่อบริโภคเข้าไป
ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลายอินทรียสารที่อยู่ในระบบนิเวศมีความสัมพันธ์กันดังแผนภาพ
แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ในการบริโภคในระบบนิเวศ
# ส่วนที่ไม่มีชีวิต แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- อนินทรียสาร เช่น คาร์บอน (C) คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) น้ำ (H2O) และออกซิเจน (O) เป็นต้น
- อินทรียสาร เช่น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เป็นต้น
- สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น แสง อุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรด-เบส ความขุ่น เป็นต้น
ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ในระบบนิเวศ
จากการสำรวจสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นพบว่าระบบนิเวศมีกลุ่มสิ่งมีชีวิตหลายชนิดอาศัยอยู่ ได้แก่ พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นกับส่วนหนึ่งส่วนใดของระบบนิเวศก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ของระบบนิเวศนั้นได้ และยังอาจมีผลต่อระบบนิเวศอื่นๆ ในธรรมชาติด้วย
สิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต อาจแบ่งเป็นปัจจัยใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ
1. ปัจจัยทางกายภาพ คือ สภาพแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต ได้แก่
- สภาพของบรรยากาศ ได้แก่ อุณหภูมิ แสงสว่าง ความชื้น หรือกระแสลม ซึ่งในแต่ละแห่งจะมีลักษณะเฉพาะ
- สภาพดินและน้ำ สภาพดินที่เป็นกรด-เบสที่แตกต่างกันทำให้พืชมีความแตกต่างกันไป ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้บริโภคมีความแตกต่างกันด้วย
2. ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ต่างๆ ที่เป็นสิ่งมีชีวิต โดยแต่ละชนิดก็จะมีความสัมพันธ์ต่อกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันมีอยู่หลากหลายรูปแบบดังนี้
- ภาวะพึ่งพากัน (mutualism) ทั้งสองฝ่ายที่มาอยู่ร่วมกันต่างให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน เช่น แบคทีเรียไรโซเบียมที่รากต้นถั่วช่วยตรึงไนโตรเจนจากอากาศสะสมไว้ที่รากต้นถั่ว เป็นต้น
- ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน (protocooperation) คล้ายภาวะพึ่งพากัน แต่ทั้งคู่ไม่ได้ดำรงชีวิตร่วมกันตลอดเวลา เช่น ดอกไม้กับแมลง โดยดอกไม้ได้ประโยชน์จากแมลงที่มาช่วยผสมเกสรให้ และแมลงก็ได้น้ำหวานจากดอกไม้เป็นอาหาร
- ภาวะเกื้อกูลกันหรือภาวะอิงอาศัย (commensalism) โดยฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ประโยชน์แต่ก็ไม่เสียประโยชน์ เช่น กล้วยไม้เกาะบนต้นไม้ จะเห็นได้ว่ากล้วยไม้ได้ประโยชน์จากต้นไม้แต่ต้นไม้ไม่ได้ประโยชน์แต่ก็ไม่เสียประโยชน์อะไร
- ภาวะล่าเหยื่อ (predation) ฝ่ายได้ประโยชน์เรียกว่า ผู้ล่า (predator) ส่วนฝ่ายที่เสียประโยชน์เรียกว่า เหยื่อ (prey) เช่น แมวกับนก แมวจะเป็นผู้ล่าเหยื่ออย่างนก เป็นต้น
- ภาวะมีปรสิต (parasitism) ฝ่ายได้ประโยชน์เรียกว่า ปรสิต (parasite) เช่น กาฝากที่เกาะบนต้นไม้ใหญ่ กาฝากเป็นปรสิตที่ทำให้ต้นไม้ใหญ่หรือ ผู้ให้อาศัย (host) เสียประโยชน์
- ภาวะการแข่งขันกัน (competition) เป็นภาวะที่ต้องแก่งแย่งทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดด้วยกันเอง จึงทำให้ทุกฝ่ายที่แก่งแย่งกันเกิดการเสียประโยชน์ทุกฝ่าย
-ภาวะเป็นกลาง (neutralism) คือ ภาวะที่มีสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดต่างดำรงชีวิตกันอย่างไม่เกี่ยวข้องกัน เช่น ตั๊กแตนในนาข้าวกับไส้เดือนดิน เป็นต้น

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ลักษณะของสิ่งมีชีวิต

สิ่งต่างๆ ที่เราพบเห็นอยู่ทั่วไป ทุกคนคงสามารถแยกได้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งมีชีวิต ซากของสิ่งมีชีวิต หรือสิ่งไม่มีชีวิต ทั้งนี้เพราะสิ่งมีชีวิตจะต้องมีลักษณะและกระบวนการของชีวิตดังนี้
1. การกินอาหาร สิ่งมีชีวิตต้องการอาหารเพื่อสร้างพลังงานและการเจริญเติบโต โดยพืชสามารถสังเคราะห์อาหารขึ้นเองได้ด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งต้องใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เปลี่ยนน้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นน้ำตาล ส่วนสัตว์ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ต้องกินพืชหรือสัตว์อื่นเป็นอาหาร


สัตว์ต้องกินอาหารเพื่อสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย
พืชสังเคราะห์อาหารได้โดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
2. การหายใจ กระบวนการหายใจของสิ่งมีชีวิตเป็นวิธีการเปลี่ยนอาหารที่กินเข้าไปเป็นพลังงาน สำหรับใช้ในการเคลื่อนไหว การเจริญเติบโต และการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย สิ่งมีชีวิตทั่วไปใช้แก๊สออกซิเจนในกระบวนการหายใจ
แผนภาพแสดงสมการการหายใจของสิ่งมีชีวิต
3. การเคลื่อนไหว ขณะที่พืชเจริญเติบโต พืชจะมีการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เช่น รากเคลื่อนลงสู่พื้นดินด้านล่าง หรือส่วนยอดของต้นที่จะเคลื่อนขึ้นหาแสงด้านบน สัตว์จะสามารถเคลื่อนไหวได้ทั้งตัวไม่ใช่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย สัตว์จึงเคลื่อนที่ไปหาอาหารหรือหลบหนีจากการถูกล่าได้


สิ่งมีชีวิตทุกชนิดขณะที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีการเคลื่อนไหว
4. การเจริญเติบโต สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเติบโตได้ พืชเติบโตได้ตลอดชีวิต ส่วนสัตว์หยุดการเจริญเติบโตเมื่อเจริญเติบโตจนมีขนาดถึงระดับหนึ่ง สิ่งมีชีวิตบางชนิดขณะเจริญเติบโตไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง แต่บางชนิดขณะเจริญเติบโตมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
การเจริญเติบโตของไหมมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะเป็น 4 ชั้น คือ ระยะวางไข่ ระยะตัวหนอนไหม ระยะดักแด้ และระยะตัวเต็มวัย
5. การขับถ่าย เป็นการกำจัดของเสียที่สิ่งมีชีวิตนั้นไม่ต้องการออกจากร่างกาย พืชจะขับของเสียออกมาทางปากใบ สัตว์จะขับของเสียออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และปะปนออกมากับลมหายใจ
สุนัขขับเหงื่อออกมาทางจมูกและลิ้น
6. การตอบสนองต่อสิ่งเร้า สิ่งมีชีวิตมีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่รอด เช่น พืชจะหันใบเข้าหาแสง สัตว์มีอวัยวะรับความรู้สึกที่แตกต่างกันหลายชนิด
ใบไมยราบจะหุบเมื่อถูกสัมผัส
7. การสืบพันธุ์ เป็นกระบวนการเพิ่มจำนวนของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันเพื่อดำรงรักษาเผ่าพันธุ์ไว้ ถ้าสิ่งมีชีวิตไม่สืบพันธุ์ก็จะสูญพันธุ์



สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ์เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์
ร่างกายของสิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานร่วมกันของระบบอวัยวะต่างๆ หลายระบบ อวัยวะต่างๆ ล้วนประกอบจากกลุ่มเนื้อเยื่อที่ทำงานร่วมกัน เนื้อเยื่อแต่ละชนิดประกอบไปด้วยกลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกันที่ทำงานอย่างเดียวกัน
ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันเป็นระบบ
ดังนั้น การศึกษากระบวนการต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตให้เข้าใจ จึงต้องอาศัยความรู้จากการศึกษาลักษณะรูปร่าง โครงสร้าง ส่วนประกอบ และหน้าที่ของเซลล์สิ่งมีชีวิตให้เข้าใจเป็นพื้นฐาน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ลำดับหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต (Taxonomic category)

การจัดลำดับหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิตเริ่มจัด เป็นกลุ่มใหญ่ก่อน  แล้วจึงแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ  อีกหลายระดับ  กลุ่มใหญ่สุดของสิ่งมีชีวิต คือ อาณาจักร(Kingdom)  กลุ่มย่อยรองลงมาสำหรับพืชเรียก ดิวิชัน (Division)  สำหรับสัตว์เรียกไฟลัม (Phylum)  ในดิวิชันหรือไฟลัมหนึ่ง ๆ  แยกออกเป็นคลาส หลายคลาส (Class)  หรือชั้น ในแต่ละคลาสแยกออกเป็นหลายออร์เดอร์ (Order) หรืออันดับแต่ละ ออร์เดอร์แยกออกเป็นหลายแฟมิลี (Family) หรือวงศ์  ในแต่ละแฟมิลียังแยกออกเป็นจีนัส (Genus) หรือสกุล  แต่ละจีนัสแบ่งย่อยออกเป็นหลายสปีชีส์ (species) หรือชนิด
              อาณาจักร (Kingdom)
                            ดิวิชัน (Division) หรือ ไฟลัม (Phylum)
                                        คลาสหรือชั้น (Class)
                                                    แฟมิลี่หรือวงศ์ (Family)
                                                                  จีนัสหรือสกุล (Genus)
                                                                                 สปีชีส์หรือชนิด (species)
ในระหว่างกลุ่ม  อาจมีกลุ่มย่อยอีก  เช่น Sub  Kingdom,Sub  division เป็นต้น  พืชแต่ละชนิด อาจมีลักษณะต่างกันเล็กน้อย เรียกว่า พันธุ์    สิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ในสปีชีส์ เดียวกันต้องมีความสัมพันธ์ ใกล้ชิดกันทางบรรพบุรุษสามารถสืบพันธุ์กันได้ ลูกที่ได้จะต้องไม่เป็นหมัน มีโครงสร้างหน้าที่เหมือนกัน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อนุกรมวิธาน (Taxonomy)

การศึกษาเกี่ยวกับการจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิตหรืออนุกรมวิธาน  ประกอบด้วย
การวิเคราะห์ชนิด (Identification)  คือการวินิจฉัยตัวอย่างที่ได้มาโดยที่ได้มาโดยที่ยังไม่ทราบ รายละเอียด นำไปเปรียบเทียบลักษณะกับสิ่งมีชีวิตที่รู้จักแล้ว  วิเคราะห์รายละเอียดว่ามีความ คล้ายคลึงกันหรือแตกต่างกันอย่างไร อาจอาศัยข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ  เช่น  คู่มือ  หนังสือเกี่ยวกับพืช  และหนังสือเกี่ยวกับสัตว์  เป็นต้น

การวิเคราะห์ชนิดของแมลง
ที่มา http://www.feenixx.com/arthropods/images/a222-insect_identification_poster2.jpg
การจัดหมวดหมู่ ( Classification ) จัด ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตนั้นให้เข้าหมวดหมู่ให้ถูกต้องและสอดคล้อง ตามลักษณะที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างหมู่ของสิ่งมีชีวิต  และเป็นที่ยอมรับตามหลักอนุกรมวิธานปัจจุบัน

การจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ล่า
ที่มา http://www.mun.ca/biology/scarr/139416_Natural_classification.jpg
การบัญญัติชื่อ (Nomenclature) กำหนด ตั้งชื่อสิ่งมีชีวิตที่ได้วิเคราะห์แล้วตามกฎเกณฑ์  ซึ่งกำหนดเป็นระเบียบสากลเรียก  ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific  name) ซึงเป็นชื่อที่ใช้ เหมือนกันทั่วโลกในทางวิชาการ  นอกจากนี้  ควรมีชื่อท้องถิ่น (native  name) และชื่อสามัญ (Common  name)  ของสิ่งมีชีวิตนั้นด้วย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

หลักเกณฑ์การจำแนกสิ่งมีชีวิต

หลักเกณฑ์ในการจำแนกสิ่งมีชีวิต  พิจารณาลักษณะสำคัญดังนี้
1. ลักษณะโครงสร้างทั้งภายนอกนอกภายในของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ  โครงสร้างที่มีต้นกำเนิด เดียวกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน  (Homologous  structure)  เช่น  แขนคน  ขาสุนัข  ปีกนก  ครีบปลาวาฬ  ครีบปลาต่าง ๆ  จะเห็นว่าครีบปลาวาฬคล้ายแขนคนมากกว่าครีบปลา และโครงสร้าง ต่างกัน แต่ทำหน้าที่อย่างเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน (Analogous  structure)  เช่นปีกนกกับปีกผีเสื้อ เป็นต้น

โครงสร้างมีต้นกำเนิดเดียวกันทำงานแตกต่างกัน
ที่มา http://taggart.glg.msu.edu/isb200/HOMOL.GIF


โครงสร้างมีต้นกำเนิดต่างกันทำงานเหมือนกัน
ที่มา http://www.bio.miami.edu/dana/pix/analogous.gif

2. แบบแผนการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต  ตั้งแต่ ระยะเริ่มแรกเอมบริโอมีการเจริญคล้ายกันเพียงใด  เช่น การเจริญของเอมบริโอของสัตว์มีกระดูกสันหลังจะต้องมีช่องเหงือก (gill slits)  ที่บริเวณคอหอย  แต่เมื่อเจริญเป็นตัวเต็มวัยแล้วจะปิดไปยกเว้นปลา  จึงแตกต่างกันในระยะโตเต็มที่

แบบแผนการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต
ที่มา http://www.schoolhousevideo.org/Media/embryology.jpg
3. ความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ  สิ่งมีชีวิตที่มาจาก บรรพบุรุษเดียวกัน ย่อมมีความสัมพันธ์กันหรืออาจเปรียบเทียบจากซากดึกดำบรรพ์

ความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการ
ที่มา http://www.geocities.com/anek04/evolution/animal.html

4. การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม  การสืบพันธุ์  การดำรงชีพ  และพฤติกรรมต่าง ๆ
5. ส่วนประกอบทางชีวเคมีของเซลล์หรือสารที่เซลล์สร้างขึ้น   และกระบวนการทาง      สรีรวิทยาที่คล้ายคลึงหรือแตกต่างกัน


ความสัมพันธ์ทางเครือญาติและส่วนประกอบทางเคมีของ DNA ของลิงกับมนุษย์
ที่มา http://www.wildchimps.org/wcf/images/generel.gif

การแบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็นอาณาจักร
ที่มา http://www.neotropicalbirds.org/FieldGuide/OnPicts/Taxonomy.jpeg

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ระบบการจัดจำแนกสิ่งมีชีวิต

การจำแนกสิ่งมีชีวิตมีหลายระบบ  ดังนี้
1. Artificial  system  จัดจำแนกสิ่งมีชีวิตโดยพิจารณาลักษณะภายนอกทั่ว ๆ  ไปเท่าที่สังเกตได้  พวกที่มีลักษณะคล้ายกันจัดไว้พวกเดียวกัน  พวกที่มีลักษณะต่างกันก็แยกออกไป  ระบบนี้นิยมใช้ในระยะ  ค.ศ. ที่ 17 - 18
2. Natural  system  จำแนกโดยอาศัยลักษณะธรรมชาติ  ลักษณะภายนอก  ลักษณะภายใน  พฤติกรรมและนิเวศน์วิทยา  ระบบนี้ใช้ระหว่างกลาง  ค.ศ. ที่  18 – 19
3. Phylogenetic  system   พิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต  และการมีบรรพบุรุษร่วมกัน  และได้นำความรู้แผนใหม่ทางชีววิทยาและวิทยาศาสตร์สาขาอื่น ๆ  เข้ามาประกอบด้วย  ระบบนี้ได้รับความนิยมนำมาใช้จานถึงปัจจุบัน
4. Modern  system  ระบบนี้เป็นการผสมระหว่าง  Natural  system  กับ Phylogenetic  system  เข้าด้วยกันโดยรวมลักษณะภายนอก  ลักษณะภายใน  เอมบริโอ  ลักษณะทางชีวเคมี  เช่นผนังเซลล์ประกอบด้วยสารอะไรบ้าง  มีอาหารเก็บไว้ที่ไหน  มีรงควัตถุอะไร  จำนวนโครโมโซม  รวมทั้งสภาวะแวดล้อมของพืชและซากดึกดำบรรพ์ (fossil) มาเป็นเกณฑ์พิจารณา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ประวัติการจัดจำแนกสิ่งมีชีวิต


อริสโตเติล
อริสโตเติล (Aristotoe) นักปราชญ์ชาติกรีก เป็นผู้ริเริ่มในการจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่  โดยแบ่งพืช ออกเป็น ไม้ยืนต้น (tree) ไม้พุ่ม (shrubs) และไม้ล้มลุก (herbs)  จำแนกสัตว์ออก พวกที่มีเลือดสีแดงและไม่มีเลือดสีแดง


ทีโอเฟรทัส
ที่มา http://www.gpo.or.th/various_pharmacy/persons/TheopharatusD.jpg
ทีโอเฟรทัส (Theophratus) นักปราชญ์ชาติกรีก ได้อธิบายการจำแนกพืชไว้ในหนังสือชื่อ  Historia  Plantarum โดยบรรยายลักษณะพืชไว้ถึง 500 ชนิด ต่อมาได้รับการยกย่องเป็น "บิดาแห่งพฤษศาสตร์"

จอห์นเรย์
ที่มา http://brianjford.com/p-John_Ray.jpg
จอห์นเรย์ (John Ray) นักชีววิทยาชาวอังกฤษ ได้จำแนกพืชออกเป็นพืชใบเลี้ยงคู่และพืช ใบเลี้ยงเดี่ยว  และเป็นผู้นำคำว่า สปีชีส์ (species) มาใช้เป็นครั้งแรก 

คาโรลัส สินเนียส
ที่มา http://obits.eons.com/obits/tributes/carolus_linnaeus/11110-1-photo.jpg
คาโรลัส สินเนียส (Carolus Linnaeus) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน  เป็นผู้ริเริ่มจัดการ ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์(Scientific name)ให้กับสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยคำ 2  คำ  คำแรกเป็นชื่อ จีนัส (Genus) ส่วนคำที่สองเป็นชื่อระบุชนิดของสิ่งมีชีวิต  การเรียกชื่อโดยใช้ 2  คำเช่นนี้เรียกว่าระบบทวินาม (Binomial  nomenclature)  ได้เขียนหนังสือชื่อ Systema  Naturae  และ  Species  Plantarum  ต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็น  บิดาแห่งการจำแนกสิ่งมีชีวิต (Father  of  Modern  Classification)

เอิร์น แฮคเคล
ที่มา http://www.payer.de/mahavamsa/chronik01a01.gif
เอิร์น แฮคเคล (Ernst Haeckel) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็น  3 อาณาจักร คือ อาณาจักรพืช   อาณาจักรสัตว์  และอาณาจักรโปรติสตา ได้นำคำว่า โพรทิสตา (Protista)  มาใช้เป็นคนแรก
โคปแลนด์ (Copeland) จำแนกสิ่งมีชีวิตเป็น 4 อาณาจักร คือ
1. อาณาจักรโมเนอรา (Kingdom Monera)
2. อาณาจักรโพรทิสตา (Kingdom Protista)
3. อาณาจักรพืช (Kingdom Metaphyta)
4. อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Metazoa)
วิตเทเกอร์ (Whittaker)ได้จำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็น  5  อาณาจักรคือ    
1. อาณาจักรโมเนอรา (Kingdom Monera) 
2. อาณาจักรโพรทิสตา (Kingdom Protista) 
3. อาณาจักรฟังไจ (Kingdom Fungi)
4. อาณาจักรพืช (Kingdom Metaphyta) 
5. อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Metazoa)

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
ขับเคลื่อนโดย Blogger.